วันอาทิตย์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

การจัดสวน

 การจัดสวน

การจัดสวน     คือกิจกรรมที่เป็นศาสตร์ศิลป์และงานฝีมือที่เกี่ยวกับการปลูกและดูแลพืชรวมถึงสภาพแวดล้อมเพื่อสร้างบรรยากาศที่สวยงาม โดยทั่วไปแล้วจะเป็นกิจกรรมในบริเวณที่อยู่อาศัย ในบริเวณที่เรียกว่าสวน
                      การจัดสวนอาจทำนอกบริเวณที่อยู่อาศัยก็ได้เช่น สวนสาธารณะ สวนพฤกษาศาสตร์ บริเวณสถานที่ท่องเที่ยว บริเวณโรงแรม/ห้างร้าน/บริษัท/หน่วยงานต่างๆ โดยทั่วไปจะทำกลางแจ้งและทำบนดินแต่ก็อาจทำในร่มได้เช่น การจัดสวนในเรือนกระจก หรืออาจทำในน้ำได้การปลูกเลี้ยงสระบัว หรือแม้แต่การทำสวนพืชรากอากาศ อาจทำได้หลายรูปแบบ เช่น สวนดอกไม้ สวนหิน สวนที่มีลักษณะที่สมดุลเช่นการจัดสวนแบบยุโรป หรือ ลักษณะการผสมผสานความไม่สมดุลเช่นการจัดสวนแบบญี่ปุ่น เป็นต้น
นอกเหนือจากการตกแต่งบ้านให้สวยงามแล้ว การจัดสวนก็มีส่วนสำคัญที่ช่วยให้บ้านน่าอยู่น่าอาศัย เพราะการที่เรามีสวนที่สวยงามจะทำให้เรารุ้สึกว่าบ้านของเรานั้นหน้าอยู่
ประโยชน์และความสำคัญในการจัดสวน
1.เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ และช่วยสร้างบรรยากาศให้ดีขึ้น
2.เพื่อพัฒนาความคิดของผู้จัดสวนอยู่เสมอ
3.เพื่อความสวยงามในที่นั้นๆ

4.ช่วยความร้อนลดอุณภูมิของในบริเวณนั้นๆ เช่นการปลูกต้นไม้ใหญ่เพื่อให้ร่มเงาในทิศตะวันตกของบ้านเพื่อบังแสงแดดที่ส่องเข้ามา


ที่มา http://www.novabizz.com/CDC/Garden.htm

ประโยชน์ของไม้ดอกไม้ประดับ

ประโยชน์ของไม้ดอกไม้ประดับ 
    
         1. การใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวัน 
              1.1  ใช้ไม้ดอกไม้ประดับเพื่อก่อให้เกิดความสวยงาม เช่น ร้อยพวงมาลัย ตกแต่งอาคารสถานที่  
              1.2  ใช้ไม้ดอกไม้ประดับเพื่อความสดชื่น สบายใจ หรือฟื้นฟูสภาพจิตใจ เช่น การจัดกระเช้าดอกไม้หรือจัดแจกันให้ผู้ป่วยเกิดความสดชื่น

              1.3  ช่วยลดการเกิดวัชพืช ไม้ดอกไม้ประดับบางชนิดสามารถปลูกคลุมดินได้เป็นอย่างดี ช่วยรักษาระดับอุณหภูมิและความชื้นภายในดิน

              1.4  การใช้ประโยชน์จากไม้ดอกไม้ประดับเพื่อเป็นยารักษาโรค เช่น ดอกบัว ดอกพิกุล ฯลฯ 
              1.5  การใช้ประโยชน์จากไม้ดอกไม้ประดับในการประกอบอาหาร เช่น การใช้สีจากใบเตย ดอกอัญชัน ฯลฯ  
              1.6  การใช้ประโยชน์จากไม้ดอกไม้ประดับในงานพิธีต่างๆ เช่น วันเกิด วันแห่งความรัก งานแต่งาน  ฯลฯ 
              1.7  ใช้แสดงความยินดีและใช้โอกาสต่างๆ เช่น การได้เลื่อนตำแหน่งใหม่ รับปริญญา ฯลฯ

           2. การใช้ประโยชน์ที่ก่อให้เกิดรายได้หรือการประกอบธุรกิจ                 
              2.1  การปลูกไม้ดอกไม้ประดับเพื่อเป็นรายได้เสริม เช่น การปลูกเป็นพืชแซม หรือในสวนบริเวณบ้าน เช่น พวกปริก 
              2.2  การปลูกไม้ดอกไม้ประดับเพื่อการค้า หรือจำหน่ายทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ เช่น กล้วยไม้ กุหลาบ เบญจมาศ แกลดิโอลัส

                 เยอบีร่า มะลิ ดาวเรือง บัว เอสเตอร์ เป็นต้น   
              2.3  ก่อให้เกิดธุรกิจเกี่ยวเนื่อง เช่น การค้าปลีกดอกไม้สด การค้าปลีกดอกไม้แห้ง การจัดสวน การท่องเที่ยว  
              2.4  ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับไม้ดอกไม้ประดับอย่างมาก เช่น ธุรกิจการจัดสวน ซึ่งปัจจุบันธุรกิจทางด้านนี้เติบโตมาก


ที่มา http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%89%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%89%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%9A


ความสำคัญของไม้ดอก

ความสำคัญของไม้ดอก

          
มนุษย์เรานั้นรู้จักนำไม้ดอกมาใช้ประโยชน์ต่อชีวิตประจำวันตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว จนกลายเป็นขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมประจำชาติทุกวันนี้ เช่น งานบวช เยี่ยมคนไข้ ให้คนรัก งานขึ้นบ้านใหม่ จัดประดับบริเวณบ้าน หรือแม้กระทั้งงานศพ และคนในสมัยโบราณยังรู้จักนำไม้ดอกไปใช้เป็นยารักษาโรคต่างๆและอาหารได้อีกด้วย นอกจากนี้คนเรายังต้องการความสุข ความเพลิดเพลินเจริญใจ ความงดงามตามธรรมชาติของพันธุ์ไม้ดอกไม้ประดับนานาชนิอีกด้วย ความสวยงามของไม้ดอกไม้ประดับนั้นหักนำไปใช้ประดับตกแต่งจัดให้ถูกวิธีศิลปะบ้างแล้ว ก็ยิ่งเพิ่มความสวยงามมากขึ้น ให้ความสุขความเพลิดเพลินเจริญใจแก่เจ้าของและผู้ที่ได้พบเห็นทั่วไป
ความสำคัญของไม้ประดับ

         ความงดงามของธรรมชาติ ต้นไม้ใบหญ้า ความร่มรื่นร่มเย็นจากร่มไม้ สีสันและความหอมอันละเอียดละไมเหล่านี้มิใช่มีอยู่ตามภาพวาด ภาพถ่าย เสียงเพลง แต่มันเกิดขึ้เองตามฑรรมชาติเพียงแต่มนุษย์เรานั้นปรุงเสริมเติมแต่งด้วยจินตนาการขึ้นมาเพิ่มเติม
มนุษย์กับธรรมชาติเป็นสิ่งที่เกื้อกุลซึ่งกันและกันมาตั้งแต่สมัยโบราณชนิดแยกกันไม่ได้ แต่มนุษย์เรานั้นใช้ทรัพยากรเหล่านี้อย่างไม่ระมัดระวัง เป็นผู้ทำลายมิตรภาพจากผู้มีอุปการคุณเสียเอง โดยจะตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจก็ตามที ซึ่งต่างๆเหล่านี้ที่มนุษย์เราได้ทำลงไปก็ส่งผลกระทบต่างๆนามนับประการในปัจจุบัน

สวนไม้ดอก        คือ พันธุ์ที่ตัดดอกเพื่อการขายและจำหน่ายเพียงอย่างเดียว
สวนไม้ประดับ    คือ พันธุ์ที่ใช้ในการประดับสวน สถานที่ในกระถางหรือแปลงก็ได้
การปลูกไม้ดอกไม้ประในเมืองไทยเรา และในจังหวัดอุตรดิตถ์นั้น จะต้องเอาใจใส่ดูแลพันธุ์ไม้ที่ไม่ค่อยทนต่อสภาพอากาศแบบนี้ แต่สำหรับต้นไม้หรือพันธุ์ไม้บางชนิดที่ทนต่อสภาพภูมิอากาศแบบนี้ก็ไม่จำเป็นเท่าไหร่ที่จะต้องการดูแลอย่างเต็มที่ หรือมากนัก
ส่วนการดูแลรักษา นั้น ในระยะแรกๆของพันธุ์ทุกชนิดนั้น จะต้องเอาใจใส่และให้การดูแลเป็นพิเศษหน่อย ( ช่วงเพาะเมล็ดขยายพันธุ์ การปักกิ่ง ต่อกิ่ง เป็นต้น ) หลังจากนั้นเมื่อต้นเจริญเติบโตได้ในระยะหนึ่งก็สามารถลดการดูแลลงได้
การทำไม้ดอกไม้ประดับนั้นจะต้องมีความรู้พื้นฐานอยู่บ้างก็จะเป็นการดีสำหรับพันธุ์ไม้แต่ละชนิด เช่น การพวงดิน การให้ การจัดเก็บ การตัดแต่งกิ่ง การกำจัดศัตรูพืช สิ่งต่างๆเหล่านี้ก็เพื่อให้ต้นไม้หรือพันธุ์ไม้เรานั้น ดูดีสมบูรณ์เมื่อได้รับการดูแลอย่างถูกวิธี เป็นที่ดึงดุดใจของลูกค้าในการเลือกซื้อ เลือกชม และบุคคลที่ผ่านไปมาได้







 ที่มา http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%89%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%89%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%9
 

    

วันเสาร์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

การปฏิบัติดูแลรักษาไม้ประดับ

การปฏิบัติดูแลรักษาไม้ประดับ

1) การให้น้ำ การให้น้ำแก่ไม้ประดับมีความสำคัญต่อการเจริญเติบโต เพราะการให้น้ำมาก/น้อยเกินไป หรือให้น้ำไม่ถูกวิธีทำให้เกิดปัญหากับพืชได้ ดังนั้นการให้น้ำเวลาใดต้องคำนึงถึงความสะดวกและปัจจัยที่เกี่ยวข้องหลายประการ เช่น ดินปลูก ความชื้นในดิน ฤดูกาล ชนิดพืช ความเข้มแสง อุณหภูมิ ฯลฯ การให้น้ำที่พอดีจะทำให้พืชมีอายุยืนยาว เจริญเติบโตเร็วและสวยงาม
2) การให้ปุ๋ย การให้ปุ๋ยควรพิจารณาความอุดมสมบูรณ์ของวัสดุปลูกเป็นหลัก วัสดุปลูกที่มีความอุดมสมบูรณ์น้อยมีความจำเป็นที่จะต้องใส่ปุ๋ยเพิ่มให้เพียงพอต่อความต้องการของพืช ควรเน้นการให้พวกอินทรียวัตถุ เช่น ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก หรืออาจให้ปุ๋ยเคมีบ้างเพื่อปรับสภาพในแต่ละช่วงแต่ละฤดูกาล เช่น ฤดูร้อนจะให้ปุ๋ยในโตรเจนสูง ฟอสฟอรัสต่ำ และโปรแตสเซียมสูงเล็กน้อย ฤดูฝนจะให้ปุ๋ยไนโตรเจนต่ำ ฟอสฟอรัสและโปแตสเซียมสูง ส่วนฤดูหนาวก็จะให้ปุ๋ยไนโตรเจนสูงมากๆ เพื่อกระตุ้นให้พืชตอบสนองต่อการเจริญเติบโต
3) การตัดแต่ง ไม้ประดับหลังจากปลูกไปนานๆ จำเป็นต้องมีการตัดแต่งกิ่งออกไปบ้างโดยใช้กรรไกรตัดแต่ง หรือมีดคมๆ เพื่อรักษาทรงพุ่มให้สวยงามยิ่งขึ้น บางครั้งอาจมีกิ่งหักเสียหาย กิ่งมีโรคและแมลงเข้าทำลายหรือกิ่งแห้งเหี่ยวก็ควรตัดออก นอกจากต้นไม้จะดูสวยงามขึ้นแล้วยังเป็นการรักษาสุขภาพของต้นไม้ให้ดีขึ้นด้วย
4) การเปลี่ยนถ่ายกระถาง ไม้ประดับที่ปลูกลงกระถางเมื่อปลูกเลี้ยงจนโตเต็มที่ควรมีการเปลี่ยนกระถางที่มีขนาดใหญ่ขึ้น หรือเปลี่ยนดินใหม่ที่มีธาตุอาหารสมบูรณ์กว่าเดิมเพื่อไม่ให้พืชชะงักการเจริญเติบโต โดยการเปลี่ยนกระถางไม้ประดับมีขั้นตอน ดังนี้
  1) เลือกกระถางใหม่ตามขนาดที่ต้องการมาล้างทำความสะอาด
  2) เตรียมวัสดุปลูกเพื่อใส่ในกระถาง
  3) นำต้นพืชออกจากกระถางเก่าและแซะดินเก่าออกประมาณครึ่งหนึ่ง
  4) นำต้นพืชลงปลูกในกระถางใหม่ที่ใส่วัสดุปลูกรองพื้นไว้ และเติมวัสดุปลูกลงไปให้เกือบถึงขอบกระถาง กดวัสดุปลูกให้แน่นแล้วรดน้ำให้ชุ่ม



ที่มา http://research.rae.mju.ac.th/raebase/index.php/base-learning/product1/garden-tree/44-care

วิธีการดูแลรักษา

วิธีการดูแลรักษา

           หลังจากทำการปลูกไม้ดอกประดับลงในแปลงใหม่ ๆ ควรทำร่มบังแดดให้กับต้นกล้าที่ปลูกประมาณ 7 - 10 วัน เพื่อช่วยให้ต้นกล้านั้นตั้งตัวได้เร็วขึ้น สำหรับการดูแลรักษาที่ควรปฏิบัติ คือ
           1. การให้น้ำ เมื่อทำการปลูกใหม่ ๆ ควรรดน้ำให้วันละ 2 ครั้ง คือในตอนเช้าและตอนเย็น หรือตามความต้องการของพันธุ์ไม้ที่ปลูก เช่น บางวันลมแรง แดดจัด อากาศร้อน การคายน้ำย่อมมีมากอาจต้องมีการให้น้ำเพิ่มขึ้น สภาพของดินก็มีส่วนสำคัญต่อการให้น้ำ  ดินบางชนิดอาจต้องรดน้ำบ่อย ๆ เนื่องจากดินไม่สามารถเก็บกักน้ำไว้ได้ ดังนั้นผู้ปลูกจึงต้องเรียนรู้ถึงความ ต้องการน้ำของพืชที่ปลูกด้วยตัวเองในระยะแรกของการปลูกซึ่งจะทำให้ทราบว่าจะต้องให้น้ำวันละกี่ครั้ง หรือ กี่วันครั้ง
            2. การพรวนดิน เพื่อกำจัดวัชพืชควรทำทุก 10 วัน ถ้าเป็นพื้นที่ขนาดเล็ก เช่น แปลงขนาด 4 X 4 เมตร อาจใช้เสียมมือ หรือ ส้อมพรวน ค่อย ๆ พรวนดินระหว่างแถวที่ปลูกพืช แต่ถ้าเป็นพื้นที่ขนาดใหญ่ก็ควรใช้จอบพรวน การพรวนดินบริเวณที่มีรากฝอยจะช่วยกระตุ้นให้เกิดการสร้างรากฝอยมากขึ้น แต่ต้องระวังอย่าไปตัดรากพืชโดยเฉพาะรากแก้ว เพราะจะทำให้พืชชะงักการเจริญเติบโตได้
            3. การให้ปุ๋ย ถึงแม้ว่าเวลาเตรียมดินจะมีการใส่ปุ๋ยลงในแปลงแล้วก็ตามแต่ก็ควรให้ปุ๋ยที่เป็นธาตุอาหารแก่พืชเพิ่ยง เร่งในส่วนที่เราต้องการ เช่น ปุ๋ยยูเรีย เพื่อเร่งการเจริญเติบโต

                                


  ที่มา http://research.rae.mju.ac.th/raebase/index.php/base-learning/product1/garden-tree/44-care

ประเภทของต้นไม้

ประเภทของต้นไม้

1.  ไม้คลุมดิน จะมีความสูงจากพื้นดินไม่เกิน 30 ซม. ประโยชน์ของไม้คลุมดิน คือ ยึดหน้าดินเอาไว้ไม่ให้พังทลายเวลาโดนน้ำพัด ลดความร้อนระอุของผิวดินอันเนื่องจากแสงแดด และเพื่อประโยชน์อื่นๆ เช่น เพิ่มสีสันของหมู่มวลไม้ ใช้เล่นกีฬา(สนามหญ้า) ตัวอย่างของไม้คลุมดิน คือ หญ้าชนิดต่างๆ เช่น หญ้านวลน้อย หญ้าญี่ปุ่น หญ้ามาเลเซีย หญ้าเบอร์มิวดา นอกจากนั้นก็เป็นพวกไม้ประดับ เช่น กระดุมทอง แพร เซี่ยงไฮ้ คุณนายตื่นสาย ผักเป็ดเขียว ผักเป็ดแดง ฟ้าประดิษฐ์ ฯลฯ





2.  ไม้พุ่มเตี้ย จะมีความสูงจากพื้นดินไม่เกิน 45 ซม. มีประโยชน์ คือ ใช้ปลูกเป็นแปลง เป็นกอ เป็นแถว ให้ดอกสวยงาม ตัวอย่างของไม้พุ่มเตี้ย เช่น เข็มญี่ปุ่น ดาวเรือง บานไม่รู้โรย กุหลาบหนู






3.  ไม้พุ่มเล็ก จะมีความสูงจากพื้นดินเฉลี่ยไม่เกิน 90 ซม. ใช้ประโยชน์ในการปลูกบังแนวในลักษณะรั้ว หรือปลูกกระหนาบ 2 ข้างทางเพื่อนำสายตา ตัวอย่างเช่น เข็มเศรษฐี ขาไก่ พยับหมอก หูปลาช่อน พลับพลึง สาวน้อยประแป้ง พลูชนิดต่างๆ ลิ้นมังกร สับปะรดสี ฯลฯ




4.  ไม้พุ่มกลาง จะมีความสูงจากพื้นดินไม่เกิน 180 ซม. จะใช้เป็นฉากหลังในการจัดสวนขนาดเล็ก ตัวอย่างเช่น ยี่โถ ยี่เข่ง เตยด่าง ประยงค์ ฯลฯ





5.  ไม้พุ่มสูง จะมีความสูงจากพื้นดินไม่เกิน 240 ซม. โดยจะปลูกเป็นไม้พุ่มไว้ตัดแต่ง ตัวอย่างเช่น ใบเงิน ใบทอง ใบนาค หางนกยูงไทย แก้ว ทรงบาดาล เข็มขาว ฯลฯ




6.  ไม้ยืนต้น จะมีความสูงจากพื้นดินตั้งแต่ 240 ซม.ขึ้นไป เป็นไม้ที่ใช้ปลูกเพื่อเป็นร่มเงาและบังฝุ่นละออง ตัวอย่างเช่น ก้ามปุ แคแสด นนทรี ชัยพฤกษ์(คูน) ยาง ไทร ทองกวาว หูกวาง ประดู่ ศรีตรัง ขี้เหล็ก หางนกยูงฝรั่ง ชงโค ตะแบก เสลา อินทนิล ปีบ ตะขบ ชมพูพันธุ์ทิพย์ ฯลฯ




นอกจากนี้ยังมีไม้ที่ใช้จัดสวนอื่นๆที่ไม่อยู่ในกลุ่ม 1-6 คือ

7.  พวกปาล์ม เป็นไม้ที่แสดงลักษณะเฉพาะของไม้เมืองร้อนชื้น แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ



7.1  หมาก พืชจำพวกหมากนี้จะขึ้นเป็นกอ ตัวอย่างเช่น หมากเขียว หมากเหลือง หมากคอนวล เต่าร้าง หมากงาช้าง


7.2  ปาล์ม จะขึ้นเป็นต้นเดี่ยว ตัวอย่างเช่น ตาล มะพร้าว สิบสองปันนา จาก ชิด จั๋ง สะตือ ปาล์มจีบ ปาล์มขวด ปาล์มขนนก ฯลฯ



8.  พวกไผ่ เช่น ไผ่เลี้ยง ไผ่ตง ไผ่บ้าน ไผ่สร้าง ฯลฯ




9.  พวกไม้เลื้อย จะใช้ปลูกเพื่อบังแดด ปกปิดส่วนของอาคารที่ไม่น่าดู



9.1  ปลูกให้เลื้อยบนร้าน เช่น บานบุรี การเวก กระดังงา



9.2  ปลูกให้เลื้อยกับหลัก เช่น พลูต่างๆ ฟิโรเดนดรอน



9.3  ปลูกให้เลื้อยกับรั้ว เช่น อัญชัน ตำลึง ประทัดจีน



10.  ไม้น้ำ คือไม้ที่ใช้ปลูกในน้ำ แบ่งเป็น 2 พวก



10.1  พวกรากหยั่งถึงดิน เช่น กกธูป กกญี่ปุ่น พุทธรักษา อะเมซอน บัวชนิดต่างๆ แบบใบบัวปริ่มน้ำ เช่น จงกลนี สัตตบุษย์ และแบบใบบัวพ้นน้ำ เช่น บัวหลวง บัวฉัตร\




10.2  พวกรากลอยน้ำ เช่น ผักบุ้ง ผักกระเฉด ผักตบชวา จอก แหน ฯลฯ






11.  ไม้กระถาง ใช้ปลูกในกระถางเพื่อประดับตกแต่ง เคลื่อนย้ายได้ตามความสะดวก เหมาะที่จะใช้ในการตกแต่งระเบียงอาคาร ตัวอย่าง เช่น ว่านสี่ทิศ คล้า พลูฉลุ ปริก




ที่มา http://www.bestroomstyle.com/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%A0%E0%B8%97%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%89/